ประวัติ
นางจูฬสุภัททา เป็นธิดาของเศรษฐีชื่อว่า อนาถบิณฑิก ชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ซึ่งบิดาของนางเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและเคารพพระสงฆ์เป็นอย่างมาก ท่านได้สร้างวัดชื่อว่า “เชตวัน” ถวายด้วย
อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีบุตรชาย 1 คน ธิดา 3 คน ท่านได้ปลูกฝังให้ลูก ๆ ได้ซาบซึ้งในคุณของพระรัตนตรัยด้วย นอกจากนี้ท่านยังได้นิมนต์พระสงฆ์มาฉันที่เรือนของท่านเป็นประจำ และได้มอบหน้าที่การจัดเลี้ยงดังกล่าวแก่นางมหาสุภัททา
ต่อมาเมื่อนางมหาสุภัททาแต่งงานมีครอบครัว หน้าที่การจัดเลี้ยงพระสงฆ์จึงตกแก่นางจูฬสุภัททา ซึ่งนางก็ได้จัดการอย่างไม่ขาดตกบกพร่องครั้งหนึ่งเพื่อนของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชื่อว่า อุคคะ เป็นเศรษฐีอยู่ในเมืองอุคคนคร ได้เดินทางมาค้าขายที่เมืองสาวัตถีและได้แวะพักอยู่กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๆ ก็ได้มอบภาระการจัดเลี้ยงให้แก่นางจูฬสุภัททา ซึ่งนางก็ได้ทำอย่างเรียบร้อยเป็นที่ถูกใจของอุคคเศรษฐี ๆ จึงได้ขอนางให้แต่งงานกับบุตรชายของตน และเนื่องจากเศรษฐีทั้งสองได้เคยสัญญากันไว้ว่าเมื่อมีบุตรธิดาก็จะให้แต่งงานกัน ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยอมรับและตกลงยินยอมให้แต่งงานกัน
เนื่องจากอุคคเศรษฐี มีความเลื่อมใสและนับถือศาสนาอื่นนอกจากพุทธศาสนา
ก่อนที่นางจูฬสุภัททาจะเดินทางไปอยู่กับครอบครัวของสามี อนาถบิณฑกเศรษฐีจึงเรียกลูกสาวเข้ามาอบรมสั่งสอนด้วยหลักคำสอน 10 ประการ ได้แก่
1. ไฟในอย่านำออก หมายถึง อย่านำเอาความลับหรือเรื่องไม่ดีในครอบครัวไปพูดให้คนภายนอกฟัง
2. ไฟนอกอย่านำเข้า หมายถึง อย่านำเอาเรื่องไม่ดีจากภายนอกบ้านมาเล่าให้คนในบ้านฟัง
3. จงให้แก่คนที่ให้ หมายถึง คนที่ยืมของไปแล้วส่งคืน ภายหลังก็ควรให้ยืมอีก
4. จงอย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายถึง คนที่ยืมของไปแล้วไม่ส่งคืน ภายหลังไม่ควรให้ยืมอีก
5. จงให้แก่คนที่ให้และไม่ให้ หมายถึง ญาติมิตรแม้ยืมของไปแล้วจะคืนหรือไม่คืนก็ตาม ก็ควรให้ยืมอีก
6. จงนั่งให้เป็นสุข หมายถึง อย่านั่งในที่ซึ่งเมื่อพ่อผัว แม่ผัว หรือสามีเดินผ่าน ตนเองจะต้องลุกขึ้น
7. จงนอนให้เป็นสุข หมายถึง เมื่อพ่อผัว แม่ผัว และสามีเข้านอนแล้ว ตนเองจึงเข้านอน
8. จงกินให้เป็นสุข หมายถึง เมื่อพ่อผัว แม่ผัว และสามีได้กินอิ่มแล้ว ตนเองจึงจะกินได้
9. จงบูชาไฟ หมายถึง ให้มีความเคารพ ยำเกรง พ่อผัว แม่ผัว และสามี
Filed under: จูฬสุภัททา | Leave a comment »